วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554
สำรวจสุดสาย ชายหาดเมืองประจวบฯ
สำรวจสุดสาย
ชายหาดเมืองประจวบฯ
ชายหาดเมืองประจวบฯ
อภินันท์ บัวหภักดี...เรื่อง เชษฐา นุ้ยเล็ก...ภาพ |
ประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดที่ปีนี้ทางราชการได้กำหนดให้เป็นปีท่องเที่ยวของจังหวัดหรือเป็นปี “Amazing Prachuapkhirikhan 2008” ที่นี่วันนี้ ด้วยลักษณะพื้นที่ที่เป็นคาบสมุทรยาวลงไปทางใต้ ยาวไกลกว่าจังหวัดอื่น ๆ ในประเทศไทย จึงมีชายหาดมากมายที่มีความสวยงามและหลากหลายมนต์เสน่ห์ชวนให้ค้นหา หัวหินและปราณบุรีคือชายหาดเก่าแก่ที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักและคุ้นชื่อกันดี แต่ขับรถเที่ยวฉบับนี้จะขอมานำพาคุณ ๆ ไปค้นหาหาดทรายสวย ๆ อื่น ๆ ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในเขตอำเภอบางสะพานและบางสะพานน้อย อันเป็นอำเภอสุดท้ายใต้สุดของจังหวัด |
เอาละ “ไปทะเลกันดีกว่า” จุดหมายปลายทางคราวนี้ที่อำเภอบางสะพานน้อย ผมเลี้ยวซ้ายจากทางหลวงหมายเลข ๔ เพื่อเข้าสู่ตัวอำเภอ แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนลาดยางอย่างดีสู่อ่าวบางเบิด ที่มีชายหาดทอดยาวจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ไปยังจังหวัดชุมพร สิ่งแรกที่ทำก็คือหาที่พัก ผมได้ไปพบกับบ้านกำเนิดพลอย บูติกรีสอร์ต รีสอร์ตที่ออกแบบได้น่ารักใกล้เคียงที่พักหรู ๆ แถวปราณบุรี จึงขอยึดที่นี่เป็นสถานที่ตั้งกองบัญขาการ เห็นน้ำทะเลใส ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะลงไปแหวกว่าย แล้วเอาเรือคายักของรีสอร์ตมาพายสำรวจชายหาด มองไปซ้ายขวาก็เห็นชายหาดยาวสุดสายตา คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าฟองคลื่นในการตระเวนสำรวจเส้นทางเลียบชายหาดของอ่าวบางเบิดในวันพรุ่งนี้ วันนี้ขอเล่นน้ำทะเลให้ฉ่ำปอดก่อนแล้วกัน |
นอกจากภาพของหาดบางเบิดแล้ว ที่หมู่บ้านประมงขนาดเล็กนี้ยังมีภาพวิถีชีวิต รวมทั้งเรือที่ประดับธงสีสวยสดจอดหลบลมเรียงกันอยู่ในอ่าวเล็ก ๆ ด้านข้างผมนี่เอง เสร็จแล้วผมวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม ก่อนถึงชายหาดสังเกตเห็นถนนแยกไปทางซ้ายบอกว่าไปบ้านบางเบิด เป็นทางหลวงชนบท ปข ๑๐๑๕ แต่ผมขอเลยไปเลาะแนวชายหาดดีกว่า ด้วยแนวชายหาดช่วงนี้ไม่ยาวมากนัก เพียง ๕๐๐ เมตร แต่ก็ประกอบไปด้วยร้านอาหารทะเล ที่พัก ชุมชนประมงขนาดเล็ก สุดชายหาดที่เขาเบิด ได้พบเห็นวิถีชีวิตประมงที่ยังคงดำเนินอยู่ควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวในพื้นที่ |
ชาวบ้านที่บางเบิดอัธยาศัยดีมาก ยิ้มแย้มทักทายพวกผมเป็นอย่างดี แถมยังแนะนำให้เราแวะเข้าไปที่ทรายทองบีชรีสอร์ต ที่นี่สามารถเข้าไปชมชายหาดบางเบิดและสามารถเดินไปถึงผาแดงอีกด้วย ผมก็พลาดไม่ได้สิครับ เจ้าของรีสอร์ตต้อนรับเราด้วยอัธยาศัยอันดี บอกว่าหาดบางเบิดฝั่งนี้เรียกว่าฝั่งแดง เพราะทรายจะออกสีแดงมากกว่าฝั่งชุมพร แปลกดีนะธรรมชาติ ก็แค่เพียงเขาเบิดลูกเล็ก ๆ เท่านั้นที่กั้นอยู่ ผมเที่ยวชมพร้อมเก็บภาพชายหาดในช่วงบริเวณนี้อยู่นาน ก่อนอำลาเพื่อไปต่อให้ถึงตัวอำเภอบางสะพานน้อย |
ยังครับ ในอำเภอบางสะพานยังมีหาดอีกแห่ง นั่นก็คือ หาดแม่รำพึง อย่าสับสนเหมือนผมนะครับ เพราะที่ประจวบฯ ก็มีอ่าวแม่รำพึงด้วย แต่ที่อยากให้ลองแวะไปก็เพราะที่นี่มีหาดทรายขาวทอดยาวแนวโค้งไกลมาก มองได้สุดตา มีถนนเลาะเลียบตลอดแนวชายหาด เหมาะสำหรับพักผ่อน และที่สำคัญ ในเส้นทางนี้สามารถพาเราไปยังบ้านกรูด ที่มีชายหาดสวยงามเช่นเดียวกัน และมีบ้านพักอยู่มากมาย ถ้ามีเวลาจะขอนอนพักชมธรรมชาติอย่างเต็มอิ่ม รู้อย่างนี้วางแผ่นเพิ่มอีกสักวันก็ดี ผมได้เพียงขับรถเลาะไปตามแนวชายหาดเพลิน ๆ ก่อนออกสู่ทางหลวงหมายเลข ๔ เพื่อกลับไปยังกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร |
ขอบคุณ |
บางสะพานน้อย-หาดบางเบิด มี ๒ เส้นทาง |
อร่อยรสริม ทะเลตราด ที่บ้านแหลมศอก
อร่อยรสริม ทะเลตราด ที่บ้านแหลมศอก
“เด็กอ้วน”...ชวนชิม / “ เด็กอ้วน” และ “ลุงจุยทุ้ย”...ชวนชม |
จุดหมายของการเดินทางครั้งนี้ “เด็กอ้วน” ตั้งใจจะไปท่องทะเลตราดกับทีมสารคดีเกาะกูดและชวนกันไปชิม อาหารทะเลที่นั่น แต่น่าเสียดายที่บนเกาะกูดไม่มีร้านอาหารที่แยกตัวออกจากแพ็กเกจของรีสอร์ตต่าง ๆ ใช้เราได้ ไปชวนชิมกันโดยเฉพาะ ดังนั้นก่อนจะลงเรือเดินทางไปยังเกาะกูด ทีมงานจึงแวะเวียนไปสำรวจร้านอาหารแถว แหลมศอก ตามข้อมูลบอกว่าที่นี่มีร้านอาหารอร่อยเปิดใหม่อยู่ร้านหนึ่ง และเมื่อเราได้ลองสั่งอาหารมาชิมก็ไม่ผิด หวังจริง ๆ |
จานต่อมาคือปลาฉลามผัดฉ่า จานนี้อาจจะหากินได้ไม่ง่ายนัก เพราะอันที่จริงแล้วฉลามจัดได้ว่าเป็นสัตว์ที่อยู่ใน กลุ่มอนุรักษ์ แต่เนื่องจากปลาฉลามมักจะติดอวนขึ้นมากับเรือประมงแบบอวนลาก จึงทำให้ปลาชนิดนี้มีขายอยู่ บ้างในตลาดที่เป็นเมืองชายทะเลอย่างตราด แล่เนื้อปลาเป็นชิ้นพอคำผัดกับเครื่องที่ประกอบไปด้วยสมุนไพรรส ร้อนแรงสารพัดชนิด ได้แก่ พริกขี้หนูสวน (เลือกเฉพาะพริกแดง) ข่า กระเทียม พริกไทยเม็ดตำจนละเอียด ใส่ขิง ซอย ใบมะกรูด และพริกไทยอ่อนลงไปให้ได้รสจัดยิ่งขึ้น ตักกินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อย ๆ จนต้องตักซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็เนื้อปลาทั้งนุ่มทั้งหวาน รสชาติก็กลมกล่อม อีกทั้งยังไม่มีกลิ่นคาวเหลืออยู่ เป็นอันว่า “ลิ้นทอง” ต้องเติมข้าวเป็น จานที่สองเพราะติดใจความอร่อยของจานเด็ดจาน นี้ |
กินอิ่มแล้วก็แดด ร่มลมตกพอดี เดินเล่นรอบ ๆ ร้านตรงหาดทราย ลมพัดเย็นสบาย แต่หากยังอยากนั่งคุยอยู่ที่โต๊ะก็จะได้ บรรยากาศดีไม่แพ้กัน เพราะตัวร้านนี้สร้างเป็นบ้านไม้สไตล์คันทรี ลมเย็นพัดมาสบาย เสียงเพลงเบา ๆ จากเครื่อง เสียงดังมาไม่ขาด ชวนให้ “เด็กอ้วน” รู้สึกสบายใจยิ่งนัก อากาศก็ดี อาหารก็อร่อย อย่างนี้ใครเล่าจะลืม ลง |
ปักษ์ใต้รสเข้ม ที่เมืองนคร
ปักษ์ใต้รสเข้ม ที่เมืองนคร
“ลิ้นทอง”...ชวนชิมและชวนชม |
ชื่อเรื่องปักษ์ใต้รสเข้มที่เมืองนครของผม คงจะบ่งบอกอย่างแน่ชัดว่านครนี้คือนครศรีธรรมราชแน่ ๆ ไม่ใช่นครสวรรค์ นครราชสีมา เพราะมีคำว่าปักษ์ใต้ขยาย ยิ่งปักษ์ใต้รสเข้มด้วยแล้วยิ่งแน่นอนเข้าไปใหญ่ เพราะอาหารเมืองนครศรีธรรมราชนั้นได้ชื่อว่ารสชาติเข้มข้นเหมือนคนเมืองคอนนั่นแหละ แต่จะเอาชื่อเรื่องทำนองนี้ไปแนะนำอาหารอีสานนั้นคงจะลำบากสักหน่อย เพราะหากขึ้นหัวเรื่องว่าอีสานรสแซบที่เมืองนครนั้น หลาย ๆ คนอาจจะสับสนไม่คิดถึงนครราชสีมา หรือโคราช ประตูอีสานเสียทีเดียว เพราะอาหารอีสานนั้นได้แทรกซึมเข้าไปทุกที่ทุกนครฯ ...แม้กระทั่งนครลอสแองเจลีสโน่น |
ลงจากชานชาลาสถานีพวกเราจึงรี่เข้าร้านแกงส้ม ซึ่งอยู่เยื้องไปทางขวาของสถานีรถไฟราว ๒๐๐ เมตร หากเดินลงมาจากสถานีรถไฟ ร้านนี้เป็นร้านประจำร้านหนึ่งที่ชาว อ.ส.ท. มาแวะ เพราะที่นี่อาหารปักษ์ใต้ โดยเฉพาะแกงส้มยอดมะพร้าวอ่อนนั้นต้องยกนิ้วให้ทีเดียว นอกจากร้านที่หน้าสถานีรถไฟแล้ว ยังมีร้านแกงส้มเปิดใหม่อยู่บริเวณถนนนางงาม ใกล้กับร้านนครอินทร์เจ้าเก่านั่นแหละ ร้านแกงส้มในเมืองเป็นลูกหลานคุณป้าที่ร้านเดิมหน้าสถานีรถไฟ ที่นี่รายการอาหารที่พลาดไม่ได้ก็คือน้ำพริกแมงดา-สะตอเผา รวมทั้งสั่งปลากระบอกทอดขมิ้นกรอบ ๆ มาแกล้ม รับรองเจริญอาหารและที่พิเศษอีกหน่อยก็คือ ที่นี่ขายอาหารญี่ปุ่นควบคู่กันไปด้วย ใครจะลองสะตอเผาแกล้มปลาดิบก็เชิญ |
ลักษณะของครัวนครนั้น เป็นร้านอาหารง่าย ๆ อย่างร้านข้าวแกง บริการรวดเร็ว ราคาย่อมเยากว่าสวนอาหาร แต่บรรยากาศนั้นยอดเยี่ยมและโดดเด่น เพราะที่นี่ตกแต่งร้านอย่างมีสไตล์ ด้วยของเก่าพื้นบ้าน อันแสดงถึงวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความมีศิลปะและสุขสงบมาช้านานของชาวเมืองนคร เครื่องตกแต่งร้านที่มีลักษณะเป็นงานสะสมศิลปะพื้นบ้านอย่างเหล็กขูด หรือกระต่ายขูดมะพร้าวที่มีรูปทรงชวนหัว ตัวหนังตะลุงซึ่งบางตัวอายุนับร้อยปี เครื่องถ้วยชามเครื่องใช้อื่น ๆ เรียกว่าเหมือนกับเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านกันเลยทีเดียว หากจะเรียกร้านครัวนครเป็นร้านข้าวแกง ผมต้องขอยกย่องว่าเป็นร้านข้าวแกงที่งดงามที่สุดในเมืองไทยเลยทีเดียว |
จากร้าน ชาวบ้านถึงร้านหรู บนเส้นทางเลียบทุ่งทานตะวันสระบุรี- ลพบุรี
จากร้าน ชาวบ้านถึงร้านหรู
บนเส้นทางเลียบทุ่งทานตะวันสระบุรี- ลพบุรี
บนเส้นทางเลียบทุ่งทานตะวันสระบุรี- ลพบุรี
“จุมโพ่”...ชวน ชิม อาทิตย์ จั่นเทศ...ชวน ชม |
|
อาหารจานเด็ดที่ทางร้านแนะนำมีไข่พระอินทร์ ทำจากแกงเขียวหวานผัดจนแห้ง แล้วห่อด้วยไข่อย่างไข่ยัดไส้ จะเลือกลูกชิ้นปลากราย หรือ เนื้อสัตว์อื่น ๆ ก็ได้ตามชอบใจ แกงเขียวหวานที่ผัดจนแห้งรสชาติเข้มข้นทีเดียว มังกรซ่อนรูป ใช้กุ้งสด ๆ พันด้วยปลากะพงแดงแล้วนำไปนึ่ง กินกับน้ำจิ้มอย่างน้ำจิ้มอาหารทะเลรสจัด ไข่แดงบ้านต้นไม้ ทอดมันห่อไข่แดงของไข่เค็มทอด สมุนไพรทอดกรอบทำจากตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด กะเพราทอดกรอบ ๆ เคล้าน้ำตาล กินเล่นเรียกน้ำย่อย |
ร้านนี้เป็นร้านในบรรยากาศแบบบ้าน ๆ ทางเข้าเหมือนลัดเลาะไปในสวน ไม่ติดถนนใหญ่แต่ก็ไม่เงียบจนเกินไปนักเพราะมีคาราโอเกะให้ร้องด้วย อาหารจานเด็ดของร้านที่ทุกคนไม่พลาดที่จะสั่งคือขาหมูทอดกรอบ ขาหมูทั้งขาทอดจนกรอบจิ้มน้ำจิ้มรสเปรี้ยวใส่พริกขี้หนูบุบ มัจฉานายาวรวนปลาร้า ที่ต่างจากร้านแรกตรงที่ไม่รวนจนแห้งแต่มีน้ำขลุกขลิก และเนื้อไก่นุ่มกว่า ส่วนคนที่ชอบกินเนื้อวัว เจ้าถิ่นแนะนำให้สั่งแกงป่าเนื้อและเนื้อย่าง |
จากสระบุรีไปจังหวัดลพบุรีกันต่อ ร้านดังที่เจ้าถิ่นหลาย ๆ คนยกนิ้วให้คือร้านปาปี ถนนพัฒนานิคม-ลพบุรี เป็นร้านในบรรยากาศแบบคันทรี ไก่ทอด JFC สูตรเด็ดของที่นี่อร่อยมาก หมักกับซอสหอมกรุ่น ทอดจนกรอบนอก นุ่มใน กินกับส้มตำกุ้งสด และยำตะไคร้ นอกจากนี้ก็มีน้ำพริกขี้กา ปลาช่อนนึ่งแจ่ว ต้มยำไก่บ้านใบมะขามอ่อน ผัดฉ่าปลาม้า ปลาคัง |
ท้ายสุดขอปิดท้ายด้วยก๋วยเตี๋ยวตาบอด (ป้าสมนึก) เลยวงเวียนโคกตูมไปทางอ่างซับเหล็ก ข้างวัดปราสาทนิมิต ที่ป้าสมนึกคนขายตามองไม่เห็นทั้งสองข้างแต่ยังคงขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงตัวเอง ปรุงเอง ขายเอง ในร้านที่เป็นเพิงเล็ก ๆ แต่มีที่นั่งสะดวกสบาย เพราะมีผู้ในบุญไปช่วยสร้างไว้ |
ร้านบ้านต้นไม้ ๒๕/๑ หมู่ ๙ ตำบลขุนโขลน อำเภอพระ พุทธบาท จังหวัดสระบุรี |
ไปนอนฟังเสียงฝน กับ ๘ โรงแรมในเชียงใหม่
ไปนอนฟังเสียงฝน กับ ๘ โรงแรมในเชียงใหม่
“เป้แดง”...เรื่อง สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์...ภาพ |
|
โรงแรมรอยัล ปริ๊นเซส กับแพ็กเกจ The Rose of the North คือพัก ๓ วัน ๒ คืน ในห้องดีลักซ์สไตล์ญี่ปุ่น รวมอาหารเช้าและอภินันทนาการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้และเครื่องดื่มต้อนรับ น้ำชากาแฟในห้อง รถรับส่งสนามบิน ส่วนลดต่าง ๆ เครื่องดื่มระหว่างมื้อ และเช็กเอาต์ได้ถึง ๑๔.๐๐ นาฬิกา ราคาห้องเดี่ยวต่อแพ็กเกจ ๔,๔๐๐ บาท และราคาห้องคู่ต่อแพ็กเกจ ๔,๘๐๐ บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคมนี้ค่ะ |
โรงแรมอมารี รินคำ โรงแรมแห่งที่สองของเชียงใหม่ อายุอานาม ๓๒ ปีแล้ว แต่ความสวยงามยังไม่โรยราเลย เพราะเขาอัพเดตกันทุกปี ฝนนี้มี 2001 Holiday time Packages มาเสนอ กับเวลา ๓ วัน ๒ คืน ห้องพักเดี่ยวราคา ๓,๒๘๕ บาท ห้องพักคู่ราคา ๔,๐๖๐ บาท พร้อมเครื่องดื่มต้อนรับ อาหารเช้า มื้อค่ำ ๑ มื้อ ผลไม้ หนังสือพิมพ์ รถรับส่งสนามบิน และเช็กเอาต์ได้ถึง ๑๖.๐๐ นาฬิกา เริ่มตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ ๑๙ ธันวาคมนี้ |
ไม่ใช่เพียงโรงแรมในเมืองเท่านั้นที่ร่วมโครงการนี้ แต่รวมถึงรีสอร์ทสวย ๆ บนเส้นทางหางดง-สะเมิงด้วย |
โรงแรมเวสทิน ถนนเชียงใหม่-ลำพูน โทรศัพท์ (๐๕๓) ๒๗-๕๓๐๐ |
ในอ้อมกอดแห่งขุนเขา คลองทราย รีสอร์ท
ในอ้อมกอดแห่งขุนเขา คลองทราย รีสอร์ท
“เป้แดง”...เรื่อง นัท สุมนเตมีย์...ภาพ |
ทุกครั้งที่ได้เก็บเสื้อผ้าข้าวของลงเป้สีแดงใบนี้ ก็อดที่จะลิงโลดด้วยความดีใจไม่ได้ว่า การเดินทางอันมีความหมายยิ่งต่อชีวิตกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว สิ่งแปลกใหม่ในโลกกว้างกำลังกู่ก้องร้องเรียกให้เราก้าวเข้าไปหา สัมผัสเพื่อทำความรู้จัก พอเริ่มจะคุ้นเคยสุดท้ายก็ต้องจากมา ดูเหมือนว่าวัฏจักรของการเดินทางจะเป็นเช่นนี้ เดินเข้าไปพบ สะสมเป็นประสบการณ์ เก็บเอาสิ่งดี ๆ บันทึกไว้ในเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ ที่จะคงอยู่ตราบเท่าที่จะถูกกาลเวลาลบเลือนไป |
พวกเรากว่าจะได้เข้าที่พักกันก็ดึกโข ก่อนเข้านอนเราภาวนาขอให้วันพรุ่งนี้เป็นเช้าวันที่สดใส มีแสงแดดสวย ๆ รอให้ช่างภาพได้ถ่ายภาพ แต่เมื่อมานึกดูอีกที คำขอดังกล่าวคงจะเป็นไปได้ยากในฤดูกาลนี้ คงได้แค่ภาวนาให้มีแสงเพียงพอให้ถ่ายภาพได้บ้างก็พอ |
บนเนื้อที่กว่า ๗๐ ไร่ ของคลองทราย รีสอร์ท ในวันนี้จึงมีทั้งคลับเฮาส์ ห้องประชุมสัมมนา ห้องจัดเลี้ยง คอฟฟี่ช็อป คาราโอเกะ ที่สำคัญคือมีบริเวณกว้าง ๆ ให้เดินเล่น มีสนามเปตอง สนามฟุตบอล บ่อตกปลา สำคัญที่สุดตรงที่มีอากาศดี ๆ ให้สูดลมหายใจเข้าได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจนี่แหละ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหน้าหนาวอากาศจะดีเพียงใด |
ติดต่อสำรองที่พักและสอบถามรายละเอียดได้ที่ |
ที่มา : อนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๓๗ ฉบับที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๙ |
ภูตะวัน สีคิ้ว บ้านพักในร่มเงาของพรรณไม้
ภูตะวัน สีคิ้ว บ้านพักในร่มเงาของพรรณไม้
“ขาจร”...เรื่อง นพดล กันบัว...ภาพ |
ในวันปลายฤดูร้อน สายฝนเม็ดบางเริ่มพรำลงเป็นสาย ดังสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่าวันเวลาแห่งความชุ่มชื่นกำลังย่างเข้ามาอีกครั้ง วัฎจักรแห่งธรรมชาติยังคงดำเนินไปเช่นที่เคยเป็น เพียงแต่อาจเปลี่ยนแปลงเวลาและระยะเวลาไปบ้างเท่านั้น |
ภายในบ้านมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน คือ มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ ตู้เย็น โทรทัศน์สี ขาดอย่างเดียวคือโทรศัพท์ซึ่งก็ไม่จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการมาพักผ่อน ธรรมชาติรอบตัวต่างหากคือสิ่งจำเป็นสำหรับคนเมืองหลวงที่นับวันจะถูกตึกแท่งเหลี่ยมบีบเข้ามาทุกที ๆ บางบ้านก็มีครัวสำหรับผู้มาเป็นครอบครัวหรือมาเป็นกลุ่มสัมมนา |
ข้างศาลาเครื่องเทศและสวนไม้ดอกโบราณคือสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน ซึ่งนอกจากสระว่ายน้ำแล้ว ในบริเวณ Villa Vista ภูตะวัน สีคิ้ว ยังมีสนามบาสเกตบอล เปตอง แบดมินตัน เทนนิส โรลเลอร์สเกต เส้นทางสำหรับขี่จักรยาน ห้องซาวน่า และโต๊ะสนุกเกอร์ด้วย เรียกว่ามีกิจกรรมให้ทำได้ทั้งวัน ไม่มีเบื่อ |
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554
ชวนนั่งรถไฟไปงานประเพณีไหว้สาพระธาตุช่อแฮ ณ เมืองแพร่ [ตอนที่ 1]
เมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสนั่งรถไฟขึ้นไปเที่ยวงานประเพณีไหว้สา พระธาตุช่อแฮ เมืองแพร่ แห่ตุงหลวง ประจำปี 2554 ณ วัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่มา เลยนำภาพการเดินทางมานำเสนอครับ
สำหรับการเดินทางนั้นก็ใช้บริการรถไฟเป็นพาหนะตามปกติ (เพราะรถอื่นๆผมนั่งไม่เป็น กลัวหลงทาง) โดยไปกับขบวนรถเร็วที่ 107 กรุงเทพ-เด่นชัย ครับ
เริ่มต้นกันที่สถานีรถไฟบางเขนครับ โดยตีตั๋วที่นั่งชั้นสามไปลงสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ ในราคา 191 บาท
มาถึงสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ตอน 05.15 น. ครับ ช้ากว่ากำหนดเวลาเล็กน้อย
ผมก็ลงที่อุตรดิตถ์นี้แล เนื่องจากว่างานไหว้สาพระธาตุช่อแฮจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 13 มีนาคม เป็นวันแรกครับ (หรือก็คือวันอาทิตย์)
ในวันเสาร์นี้ยังไม่มีการจัดงาน ผมจึงถือโอกาสไปแวะเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยก่อนครับ และค่อยเดินทางขึ้นไปจังหวัดแพร่ในตอนเย็นๆอีกที
จากสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ ผมก็รีบเดินไปที่สถานีขนส่งครับ ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก เพื่อที่จะต่อรถประจำทางไปอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
สำหรับรถที่จะวิ่งผ่านอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย โดยออกจากอุตรดิตถ์นั้นก็มีเฉพาะช่วงเช้าครับ และก็เว้นระยะไปมีอีกทีก็ตอนบ่ายๆโน่นเลย ดังนั้นถ้าต้องการจะไปให้ทันรถประจำทางก็ควรมาถึงอุตรดิตถ์แต่เช้ามืดนี้แลครับ
รถประจำทางที่สามารถโดยสารไปได้ก็คือ
- รถตู้สาย อุตรดิตถ์-สุโขทัย-ตาก-แม่สอด ปัจจุบันมีวันละ 2 เที่ยวคือ 06.00 น. และ 13.30 น. ครับ
- รถประจำทางสาย อุตรดิตถ์-สุโขทัย-พิษณุโลก (สายเก่า) ตอนเช้าๆมีแค่ 2 เที่ยวคือ 06.15 น. และ 8.00 น.
- รถประจำทางสาย พิษณุโลก-แม่สอด (สายเก่า) ตอนบ่ายๆมี 3 รอบคือ 13.00 น., 14.00 และ 15.00 น.
ค่าโดยสารก็เท่าๆกันคือ 27 บาท ครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที จุดที่จะลงรถนั้นก็มีหลายจุดครับ แต่จุดที่ผมเห็นว่าสะดวกมากแห่งหนึ่งก็คือไปลงรถที่ทางเข้าวัดพระปรางค์ หรือที่รู้จักกันในชื่อยาวๆว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองเชลียงเก่า นั้นแล
จากประตูวัดที่อยู่ริมถนนหลวงสาย 101 นั้น ก็เดินเข้าไปแค่ราวๆ 100 เมตรก็จะพบกับสะพานแขวนข้ามแม่น้ำยมครับ เดินข้ามสะพานไปก็ถึงวัดพระปรางค์เลย
นอกจากนี้คุณสามารถไปลงรถที่บริเวณวัดศรีสัชนาลัย (หรือวัดท่าน้ำแก่งหลวง) ก็ได้ครับ แล้วเดินทะลุวัดเข้าไปด้านหลังราวๆ 1 กิโลเมตร จะมีกระเช้าข้ามแม่น้ำยมให้บริการอยู่ ข้ามไปก็จะโผล่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์เลย (หรือเวลาหน้าแล้ง จะเดินข้ามแก่งหลวงเอาก็ตามสะดวก เพราะมันฟรี)
แต่ทว่า หากจะมาเที่ยววัดพระปรางค์ ก็ต้องเดินย้อนลงมาอยู่ดีครับ และทางนั้นก็เดินจากริมถนนหลวงสาย 101 เข้าไปไกลกว่านิดหน่อย ผมเลยเลือกมาลงที่วัดพระปรางค์นี้แล เดินใกล้ดี
ข้ามสะพานแขวนมาก็ถึงวัดพระปรางค์ หรือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองเชลียงเก่า ครับ
นี่เป็นพระปรางค์ที่สวยงามและสมบูรณ์มากที่ีสุดองค์หนึ่งของประเทศไทยเราเลย
พอดีช่วงนี้กำลังจะมีงานประจำปีวัดพระปรางค์พอดีครับ ทางวัดเลยเอาลำโพงกับหลอดไฟมาติดตั้ง และกางผ้าร่มคลุมองค์พระเอาไว้เสร็จสรรพ หุหุ
องค์พระประธานในพระวิหารเก่านี้จัดเป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยที่งามมากองค์หนึ่งครับ โดยเฉพาะพระหัตถ์และพระองค์คลิที่เรียวยาวสวยงาม
ในวัดนี้ยังมีพระอัฏฐารสที่สมบูรณ์มากๆองค์หนึ่ง
และก็หลวงพ่อสองพี่น้อง ใกล้ๆมณฑปพระอัฏฐารส เสียดายที่พระองค์หลังพระกรหักไปข้างหนึ่ง
โดยเฉพาะหลวงพ่อพุทธเรืองฤทธิ์ พระประธานในโบถส์ด้านหน้าพระวิหารเดิม ที่ปัจจุบันบูรณะขึ้นใหม่ ภายในที่สวยงามมากครับ
จากวัดพระปรางค์นี้ เดินเลาะไปตามถนนเลียบแม่น้ำยมขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆก็จะถึงอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยครับ ระยะทางก็ราวๆ 3 กิโลเมตร (แต่เดินจริงๆผมว่าราวๆ 1.8 กิโลเมตรหรือไม่เกิน 2 กิโลเมตรเองกระมังครับ เพราะเดินแค่ 15 นาทีเอง)
ระหว่างทางก็จะมีโบราณสถานมากมายให้แวะชมครับ เช่นวัดชมชื่น
จากนั้นผมก็เดินกลับไปวัดพระปรางค์และดักโบกรถประจำทางสาย พิษณุโลก-แม่สาย ตอนเวลาประมาณ 13.00 น. ครับ เพื่อขึ้นไปจังหวัดแพร่กัน ค่าโดยสารก็ 74 บาท
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10344169/E10344169.html
สำหรับการเดินทางนั้นก็ใช้บริการรถไฟเป็นพาหนะตามปกติ (เพราะรถอื่นๆผมนั่งไม่เป็น กลัวหลงทาง) โดยไปกับขบวนรถเร็วที่ 107 กรุงเทพ-เด่นชัย ครับ
เริ่มต้นกันที่สถานีรถไฟบางเขนครับ โดยตีตั๋วที่นั่งชั้นสามไปลงสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ ในราคา 191 บาท
มาถึงสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ตอน 05.15 น. ครับ ช้ากว่ากำหนดเวลาเล็กน้อย
ผมก็ลงที่อุตรดิตถ์นี้แล เนื่องจากว่างานไหว้สาพระธาตุช่อแฮจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 13 มีนาคม เป็นวันแรกครับ (หรือก็คือวันอาทิตย์)
ในวันเสาร์นี้ยังไม่มีการจัดงาน ผมจึงถือโอกาสไปแวะเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยก่อนครับ และค่อยเดินทางขึ้นไปจังหวัดแพร่ในตอนเย็นๆอีกที
จากสถานีรถไฟอุตรดิตถ์ ผมก็รีบเดินไปที่สถานีขนส่งครับ ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันมากนัก เพื่อที่จะต่อรถประจำทางไปอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย
สำหรับรถที่จะวิ่งผ่านอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย โดยออกจากอุตรดิตถ์นั้นก็มีเฉพาะช่วงเช้าครับ และก็เว้นระยะไปมีอีกทีก็ตอนบ่ายๆโน่นเลย ดังนั้นถ้าต้องการจะไปให้ทันรถประจำทางก็ควรมาถึงอุตรดิตถ์แต่เช้ามืดนี้แลครับ
รถประจำทางที่สามารถโดยสารไปได้ก็คือ
- รถตู้สาย อุตรดิตถ์-สุโขทัย-ตาก-แม่สอด ปัจจุบันมีวันละ 2 เที่ยวคือ 06.00 น. และ 13.30 น. ครับ
- รถประจำทางสาย อุตรดิตถ์-สุโขทัย-พิษณุโลก (สายเก่า) ตอนเช้าๆมีแค่ 2 เที่ยวคือ 06.15 น. และ 8.00 น.
- รถประจำทางสาย พิษณุโลก-แม่สอด (สายเก่า) ตอนบ่ายๆมี 3 รอบคือ 13.00 น., 14.00 และ 15.00 น.
ค่าโดยสารก็เท่าๆกันคือ 27 บาท ครับ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที จุดที่จะลงรถนั้นก็มีหลายจุดครับ แต่จุดที่ผมเห็นว่าสะดวกมากแห่งหนึ่งก็คือไปลงรถที่ทางเข้าวัดพระปรางค์ หรือที่รู้จักกันในชื่อยาวๆว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองเชลียงเก่า นั้นแล
จากประตูวัดที่อยู่ริมถนนหลวงสาย 101 นั้น ก็เดินเข้าไปแค่ราวๆ 100 เมตรก็จะพบกับสะพานแขวนข้ามแม่น้ำยมครับ เดินข้ามสะพานไปก็ถึงวัดพระปรางค์เลย
นอกจากนี้คุณสามารถไปลงรถที่บริเวณวัดศรีสัชนาลัย (หรือวัดท่าน้ำแก่งหลวง) ก็ได้ครับ แล้วเดินทะลุวัดเข้าไปด้านหลังราวๆ 1 กิโลเมตร จะมีกระเช้าข้ามแม่น้ำยมให้บริการอยู่ ข้ามไปก็จะโผล่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์เลย (หรือเวลาหน้าแล้ง จะเดินข้ามแก่งหลวงเอาก็ตามสะดวก เพราะมันฟรี)
แต่ทว่า หากจะมาเที่ยววัดพระปรางค์ ก็ต้องเดินย้อนลงมาอยู่ดีครับ และทางนั้นก็เดินจากริมถนนหลวงสาย 101 เข้าไปไกลกว่านิดหน่อย ผมเลยเลือกมาลงที่วัดพระปรางค์นี้แล เดินใกล้ดี
ข้ามสะพานแขวนมาก็ถึงวัดพระปรางค์ หรือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองเชลียงเก่า ครับ
นี่เป็นพระปรางค์ที่สวยงามและสมบูรณ์มากที่ีสุดองค์หนึ่งของประเทศไทยเราเลย
พอดีช่วงนี้กำลังจะมีงานประจำปีวัดพระปรางค์พอดีครับ ทางวัดเลยเอาลำโพงกับหลอดไฟมาติดตั้ง และกางผ้าร่มคลุมองค์พระเอาไว้เสร็จสรรพ หุหุ
องค์พระประธานในพระวิหารเก่านี้จัดเป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยที่งามมากองค์หนึ่งครับ โดยเฉพาะพระหัตถ์และพระองค์คลิที่เรียวยาวสวยงาม
ในวัดนี้ยังมีพระอัฏฐารสที่สมบูรณ์มากๆองค์หนึ่ง
และก็หลวงพ่อสองพี่น้อง ใกล้ๆมณฑปพระอัฏฐารส เสียดายที่พระองค์หลังพระกรหักไปข้างหนึ่ง
โดยเฉพาะหลวงพ่อพุทธเรืองฤทธิ์ พระประธานในโบถส์ด้านหน้าพระวิหารเดิม ที่ปัจจุบันบูรณะขึ้นใหม่ ภายในที่สวยงามมากครับ
จากวัดพระปรางค์นี้ เดินเลาะไปตามถนนเลียบแม่น้ำยมขึ้นไปทางเหนือเรื่อยๆก็จะถึงอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยครับ ระยะทางก็ราวๆ 3 กิโลเมตร (แต่เดินจริงๆผมว่าราวๆ 1.8 กิโลเมตรหรือไม่เกิน 2 กิโลเมตรเองกระมังครับ เพราะเดินแค่ 15 นาทีเอง)
ระหว่างทางก็จะมีโบราณสถานมากมายให้แวะชมครับ เช่นวัดชมชื่น
จากนั้นผมก็เดินกลับไปวัดพระปรางค์และดักโบกรถประจำทางสาย พิษณุโลก-แม่สาย ตอนเวลาประมาณ 13.00 น. ครับ เพื่อขึ้นไปจังหวัดแพร่กัน ค่าโดยสารก็ 74 บาท
http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E10344169/E10344169.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)